สัมผัสน้ำทะเลแห่งจังหวัดเกียวโต ชมวิวสะพานสู่สรวงสวรรค์ที่ “Amanohashidate” ตอนที่2

On Top

ตื่นเช้ามาอย่างสดใสแต่อากาศกลับไม่เป็นใจ ฝนลงเม็ดแต่เช้าตรู่ บรรยากาศด้านนอกจึงอึมครึม ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆหมอกที่พัดพาเอาเม็ดฝนจากด้านบนลงมายังท้องทะเลด้านล่าง เก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วลงไปรับประทานอาหารที่ห้องอาหารชั้นล่าง

อาหารเช้าให้บริการแบบบุฟเฟต์สไตล์กึ่งญี่ปุ่นกึ่งอเมริกันให้แขกผู้เข้าพักได้เลือกสรรอาหารที่ถูกปากตนเอง ที่นั่งจะแบ่งออกเป็น 2 โซนคือด้านในอาคารและโซนระเบียงด้านนอกที่ติดกับสวนของโรงแรม และเพราะอากาศเย็นในยามเช้า โต๊ะอาหารด้านนอกจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งนัก ทานอาหารอร่อยๆพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า

อิ่มท้องแล้วเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม ฝากกระเป๋าไว้ที่รีเซปชั่นจากนั้นผูกเชือกรองเท้าให้แน่นพร้อมออกตะลุยเที่ยว แต่โชคไม่ดีที่ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เราจึงตัดสินใจออกเดินทางพร้อมกับร่มคันใหญ่ในมือ เพราะจะให้มานั่งรอฟ้าใสก็คงจะเสียเวลาน่าดู จุดเริ่มต้นของการเที่ยวเมือง Amanohashidate คือสถานีรถไฟ เนื่องจากเมืองนี้จำเป็นต้องใช้ยานพาหนะหลายประเภทในการสำรวจรอบเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรือข้ามฟาก จักรยาน ไปจนถึงกระเช้าไฟฟ้า ทางการท่องเที่ยวจึงจัดทำตั๋วชนิดพิเศษสำหรับเมืองนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า Kyoto Sea Area Pass

Kyoto Sea Area Pass มี 2 ประเภทคือ 1 Day Pass และ 2 Day Pass โดยจะแบ่งประเภทเขตพื้นที่การใช้ได้ดังนี้

  • 1 Day Pass จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทย่อยคือ Amanohashidate Pass และ Ine Pass
  • 2 Day Pass จะสามารถใช้ได้ใน 2 พื้นที่คือทั้ง Amanohashidate และ Ine

สำหรับบัตรที่เราเลือกใช้ในวันนี้จะเป็น Amanohashidate Pass ซึ่งจำกัดระยะเวลาในการใช้เพียง 1 วัน โดยสามารถใช้ขึ้นยานพาหนะได้ตั้งแต่รถไฟ เรือข้ามฟาก เคเบิ้ลคาร์สำหรับขึ้นไปยังจุดชมวิว และแม้กระทั่งจักรยาน โดยจำกัดอยู่ในพื้นที่ Amanohashidate เท่านั้น ไม่สามารถใช้เดินทางไปยัง Ine ได้ (Ine มีแหล่งท่องเที่ยวคือหมู่บ้านชาวประมงโบราณที่ตั้งอยู่ริมทะเล)

วิธีการเที่ยวในเมืองนี้มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความต้องการของนักท่องเที่ยว ในกรณีที่มีเวลาน้อย คุณสามารถเลือกใช้บริการเรือข้ามฟาก เพื่อไปยังฝั่งตรงข้ามโดยใช้เวลาเพียง 15 นาที แต่ถ้าคุณมีเวลาเหลือเฟือและต้องการท่องเที่ยวแบบ Slow Life คุณสามารถเลือกใช้จักรยานเป็นพาหนะได้ โดยสามารถขับผ่านสันทรายที่ตั้งอยู่กลางอ่าวมิยาสึเพื่อข้ามไปยังอีกฝั่งได้อย่างสบายๆ แล้วคุณจะได้สัมผัสกับความพิศวงของถนนธรรมชาติที่ตัดผ่านท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ปั่นจักรยานไปเรื่อยๆรับลมทะเล ชมวิวต้นสนสูงใหญ่ที่เรียงรายเต็มสองข้างทาง นับเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยยิ่งนัก

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในกรณีที่คุณต้องการความตื่นเต้นในชีวิต การนั่งเรือ Speed Boat เป็นคำตอบที่ดีที่สุด ด้วยความเร็วของเรือยนต์คุณภาพดี คุณสามารถไปเหยียบพื้นดินบนเกาะอีกฝั่งได้ในเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น! (แนะนำให้ลองดูซักครั้ง จะขาไปหรือขากลับตามสะดวกเลย)

เกริ่นนำกันมาพอสมควรได้เวลาออกเดินทางกันแล้ว จากสถานี Amanohashidate เจ้าหน้าที่ชี้ให้เดินไปทางขวามือ เพื่อไปยังท่าเรือสำหรับข้ามฝั่ง ออกมาจากสถานีก็เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวเดินไปมาประปราย ด้านขวาของสถานีเป็นโรงอาบน้ำสาธารณะที่ชื่อ Amanohashidate Onsen “Chie-no-yu” คำว่า “CHIE” หมายถึง “ปัญญา” และ “Yu” หมายถึง น้ำร้อน เจตนาของการตั้งชื่อบ่อออนเซ็นนี้ก็เพื่อให้ผู้ที่มาใช้บริการมีสุขภาพแข็งแรงและสติปัญญาอันชาญฉลาด แต่น่าเสียดายที่วันนี้บ่อออนเซ็นปิดทำการ เราจึงไม่มีโอกาสเข้าไปสำรวจด้านใน

ฝั่งตรงข้ามสถานีเป็นร้านขายของที่ระลึกประจำเมือง เดินไปทางขวาเรื่อยๆก็จะเริ่มเข้าสู่ตัวเมือง ร้านค้าเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขนมหวาน ร้านขายของที่ระลึกตั้งเรียงอยู่ทั้งสองฟากฝั่งถนน

ระหว่างทางไปท่าเรือก็จะพบกับวัดชิออนจิ (Chionji Temple) โรงเรียนสอนศาสนาของพุทธศาสนานิกายรินไซเซน โดยเป็น 1 ใน 3 วัดของญี่ปุ่นที่มีรูปปั้นสำคัญของเทพเจ้า Monju Bosatsu ซึ่งเป็นเทพแห่งสติปัญญา นักเรียนและประชาชนทั่วไปจึงนิยมมาขอพรเกี่ยวกับการเรียน ความรู้ความสามารถ สติปัญญา ความสำเร็จทางวิชาการต่างๆ และยังนิยมซื้อเครื่องราง omikuji (มีลักษณะเหมือนพัดที่พับไว้) แล้วนำไปแขวนไว้ที่ต้นสนอีกด้วย โครงสร้างอาคารอื่นๆรอบๆวัด ได้แก่ ประตูทางเข้าขนาดใหญ่ มีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่กลางประตูทางเข้าตามสไตล์วัดญี่ปุ่น เจดีย์สองชั้น tahoto ที่สร้างขึ้นช่วงปี 1500 เป็นสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของวัดชิออนจิ และหลุมฝังศพของ Izumi Shikubu กวีหญิงที่มีชื่อเสียงในสมัยเฮอัน(710-1185)

ท่าเรือข้ามฟาก

 

เดินชมวัดได้เพียงชั่วครู่ ฝนก็หยุดตกแบบกะทันหัน จากที่ตั้งใจจะนั่งเรือข้ามฟาก จึงขอเปลี่ยนเป็นเช่ารถจักรยานแทน โดยปกติแล้วเราสามารถใช้ Amanohashidate Pass ในการขอเช่าจักรยานจากท่าเรือโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เนื่องจากวันนี้ฝนตก ร้านเช่าจักรยานจึงปิดให้บริการเพื่อความปลอดภัย แต่ด้วยความดื้อรั้นและจิตวิญญาณของนักท่องเที่ยวขาลุย เราจึงตัดสินใจไม่ใช้ประโยชน์จาก Pass และยอมเสียเงินเพิ่มเพื่อเช่าจักรยานจากร้านขายของที่ระลึกแถวนั้นแทน การเช่าจักรยานในเมืองนี้มีข้อดีคือคุณไม่จำเป็นต้องขับกลับมาคืนที่ร้านเดิม เพราะร้านดังกล่าวจะตั้งอยู่ทั้ง 2 ฟากฝั่งของเกาะ ดังนั้นคุณสามารถทิ้งจักรยานไว้ที่อีกฝั่งแล้วนั่งเรือข้ามฟากกลับมาแทนได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวล (ค่าเช่าจักรยาน 400-500 เยน/2 ชั่วโมง)

 OLYMPUS DIGITAL CAMERA 

เมื่อได้พาหนะคู่ใจเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาออกเดินทาง สะพานที่ใช้ข้ามไปยังสันทรายกลางทะเลนั้นเรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเมืองนี้ Turning Bridge คือชื่อของสะพานดังกล่าว และประโยชน์ของสะพานแห่งนี้ก็เป็นไปตามชื่อเรียก คือสะพานที่หมุนได้ สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1923 และใช้แรงคนในการหมุนสะพาน ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 ชาวญี่ปุ่นก็ได้พัฒนาสะพานแห่งนี้ให้เป็นระบบไฟฟ้า เหตุผลหลักที่ต้องสร้างสะพานพิเศษนี้ขึ้นมาก็เพื่อการสัญจรไปมาของบรรดาเรือบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ทั้งหลายที่ไม่สามารถลอดใต้ท้องสะพานได้ โดยทุกครั้งที่มีเรือผ่านมา เจ้าหน้าที่จะนำเชือกมาปิดกั้นทางขึ้นสะพานเพื่อเป็นสัญญาณเตือนให้คนเดินเท้าคอยอยู่ที่ฝั่งก่อน กล่าวกันว่าคุณจะโชคดีถ้าได้เห็นสะพานแห่งนี้กำลังหมุน

เมื่อข้ามสะพานหมุนได้มาเรียบร้อยแล้วก็ขับผ่านลานกว้างที่เต็มไปด้วยต้นสนใหญ่ตรงมาเรื่อยๆและข้ามสะพานไปอีกครั้งหนึ่งก็จะถึงสันทรายอย่างเต็มรูปแบบ สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่สร้างความร่มรื่นและอากาศบริสุทธิ์ให้กับสันทรายแห่งนี้ นอกจากต้นไม้แล้วบางจุดยังเป็นหาดทรายขาวสำหรับเดินเล่นรับลมทะเล ขับไปเรื่อยๆก็จะพบกับจุดบริการห้องน้ำและศาลาขนาดเล็กสำหรับนั่งผ่อนคลาย

สันทรายที่ทอดยาวกลางอ่าวมิยาสึนี้มีความกว้างเพียง 20 เมตร และมีต้นสนญี่ปุ่นมากถึง 8,000 ต้น บางต้นขึ้นอยู่บริเวณริมสันทราย ลำต้นมีลักษณะโค้งไปยังฝั่งทะเล ราวกับว่าเหล่าใบไม้ที่พริ้วไหวนั้นกำลังพยายามโน้มตัวไปสัมผัสน้ำทะเล สันทรายแห่งนี้ใช้เป็นที่สัญจรไปมาระหว่างฝั่ง Amanohashidate และฝั่ง Ine ประชาชนทั่วไปใช้ประโยชน์จากสันทรายแห่งนี้โดยการเปลี่ยนให้เป็นสวนสาธารณะจากธรรมชาติ ส่วนบุรุษไปรษณีย์ก็ใช้สันทรายนี้เป็นทางสัญจรไปมาสำหรับส่งจดหมายให้ถึงมือผู้รับ และนักท่องเที่ยวทั้งหลายก็ใช้สันทรายนี้สำหรับข้ามไปยังจุดชมวิวของอีกฟากฝั่ง เรียกได้ว่าเป็นสันทรายที่มีอรรถประโยชน์มากมายจริงๆ

ปั่นจักรยานมาเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก กว่าจะมาถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม ดังคำกล่าวที่ว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อขับเข้าเส้นถนนของอีกฝั่งหนึ่งได้แล้วเราก็มุ่งหน้าไปยังศาลเจ้า Motoise Kono Shrine ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานและมีความสำคัญของภูมิภาคนี้ (Tango) โดยเราสามารถใช้เป็นทางผ่านสำหรับการขึ้นไปยังจุดชมวิว Kasamatsu Park ศาลเจ้าแห่งนี้มีขนาดกว้างขวาง มีจุดสำหรับจอดจักรยานอยู่ด้านหน้า เราจำเป็นต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปเนื่องจากทางเดินค่อนข้างมีความลาดชัน จักรยานจึงอาจเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่

  

ทางขึ้นไปยังจุดชมวิวสามารถเดินลัดเลาะมาจากประตูด้านหลังของศาลเจ้าผ่านเสาโทอิริสีส้ม ตามทางจะมีร้านขายของที่ระลึก อาหารแห้งและขนมหวานตั้งอยู่ติดกันเป็นแถบ เพียง 5 นาทีก็มาถึงที่หมาย

วิธีการขึ้นไปยังจุดชมวิวมี 2 แบบให้เลือกคือ Cable Car และ Chair Lift โดยเราสามารถใช้ Amanohashidate Pass ใช้บริการได้ทั้งสองแบบโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่เนื่องจากฝนตก Chair Lift จึงต้องปิดบริการชั่วคราว เราจึงต้องใช้บริการ Cable Car แทน รถรางไฟฟ้าค่อยๆออกตัวอย่างช้าๆให้ผู้โดยสารได้มีเวลาดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบข้างที่ประกอบด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจี และเมื่อหันกลับไปมองด้านหลังเราก็จะได้ชมวิวเมืองที่มีฉากหลังเป็นท้องทะเลและภูเขาสูงใหญ่ ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเราก็ไปถึงจุดชมวิวด้านบนอย่างรวดเร็ว  

 

Kasamatsu Park หรือจุดชมวิวแห่งนี้เป็นสถานที่ที่จะทำให้เรามองเห็นวิวธรรมชาติแบบพาโนราม่า “Matanozoki” คือชื่อเรียกของท่าสำหรับชมวิวอันเป็นเอกลักษณ์ของ Amanohashidate โดยมีวิธีการคือ ยืนในตำแหน่งจุดชมวิว จากนั้นหันหน้าเข้าฝั่ง หันหลังให้กับสันทราย กางขาให้เท่ากับความกว้างของไหล่ จากนั้นโค้งตัวลงและชมวิวผ่านหว่างขา ภาพที่เห็นจะคล้ายกับสันทรายแห่งนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็น “สะพานสู่สรวงสวรรค์” หรือ “มังกรผงาดฟ้า” ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นโบราณ

นอกจากจุดชมวิวแล้ว ด้านบนยังเป็นที่ตั้งของร้านขายของที่ระลึก ร้านขายเครื่องดื่มและร้านอาหารขนาดเล็กที่ให้บริการอาหารจานเดียว เราสามารถรับประทานอาหารพร้อมดื่มด่ำไปกับวิวธรรมชาติอันงดงาม เมนูแนะนำที่ไม่ควรพลาดคือ Japanese-Style Hamburger Steak Combo เสต็กเนื้อนุ่มเสิร์ฟคู่กับข้าวสวยและอุด้งในซุปร้อน และ Curry Rice แกงกะหรี่สไตล์ญี่ปุ่นรสชาติละมุนนุ่มลิ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ชอบทานอาหารรสจัด หรือจะลองเป็นชุดโซบะเทมปุระที่เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยและชาร้อน

ด้านขวามือของร้านอาหารเป็นจุดชมวิวอีก 1 จุดที่เหมาะสำหรับคู่รัก ประติมากรรมรูปหัวใจสีชมพูพร้อมชุดโต๊ะเก้าอี้ถูกจัดไว้เพื่อเป็นจุดถ่ายภาพ ราวกั้นที่ล้อมรอบยังเต็มไปด้วยพวงกุญแจที่บรรดาคู่รักทั้งหลายมาคล้องไว้เพื่อเป็นที่ระลึกว่าเคยมาเยือนสถานที่แห่งนี้ด้วยกัน

หลังใช้เวลารับประทานอาหารและถ่ายรูปกันอย่างจุใจแล้วก็ได้เวลากลับเข้าฝั่ง กลุ่มเมฆฝนได้ถูกลมพัดพาไปทางทิศตะวันออก ท้องฟ้าเริ่มเปิดทางให้กับแสงอาทิตย์ และในที่สุด Chair Lift ก็เปิดให้บริการ ตัวเก้าอี้สร้างขึ้นสำหรับผู้โดยสารเพียงท่านเดียว ไม่มีเข็มขัดหรือสิ่งป้องกันภัยใดๆทั้งสิ่น เราจึงต้องนั่งด้วยความระมัดระวัง ไม่หมุนหรือโยกตัวเกินความจำเป็น แต่ทั้งนี้พื้นด้านล่างระหว่างทางก็ถูกปูด้วยไม้และตาข่ายป้องกันไว้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อลงมาถึงด้านล่างก็เดินกลับไปยังศาลเจ้าเพื่อนำจักรยานไปคืนที่ร้าน จากนั้นเราก็เลือกใช้บริการ Speed Boat กลับไปยังฝั่ง Amanohashidate โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที และเมื่อเรือมาจอดเทียบฝั่งเราก็มีโอกาสได้เห็นสะพานหมุนอีกครั้งหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการจบทริปที่สวยงามและน่าประทับใจยิ่งนัก สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ Amanohashidate แห่งนี้ถือเป็นจุดหมายปลายทางที่ทุกท่านไม่ควรพลาด

Story By Bamboo 

**********************************

เป็นอย่างไรบ้างคะ เพื่อนๆ  Amanohashidate”  ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจใช่ไหมหละ 🙂 แล้วเจอกับ Bamboo ในทริปหน้านะคะ 

ขอบคุณข้อมูลการท่องเที่ยวจาก
http://www.talonjapan.com/
http://www.amanohashidate.jp/

**************************************************

Social Media

Get The Latest Updates

Subscribe To Our Weekly Newsletter

No spam, notifications only about new products, updates.

Categories

On Trend

Most Popular Stories

ดารุมะ วัดคัตสึโอจิ!

            วัดคัตสึโอจิ หรือวัดที่เราเรียกกันว่า วัดดารุมะ เพราะมีดารุมะเยอะมากกกก จริง ๆ แล้วมีประวัติยาวนานถึง 1300 ปี ถูกสร้างขึ้นในยุคนาระ ปี ค.ศ.727             เป็นวัดที่เหล่านักรบในอดีตมักมาขอพรกัน ให้ประสบชัยชนะในการรบ

สอนวิธีวางแผนเส้นทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วย Hyperdia ง่ายม๊ากกกกกก…

ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เดินทางด้วยรถไฟเป็นหลักครับ หากคุณจะไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองแล้วละก็ รถไฟคือสิ่งจำเป็นที่คุณต้องใช้และเรียนรู้

ตามรอยสามก๊ก เสฉวน-ฉงชิ่ง : แช่ออนเซ็น เที่ยวเมืองโบราณ ชมธรรมชาติสุดอลังการเว่อร์วัง กับ SBA Travel

การท่องเที่ยวประเทศจีนด้วยการใช้บริการบริษัททัวร์เป็นทางเลือกที่ดีมาก สำหรับผู้ที่ไม่รู้ภาษาจีน เพราะแม้กระทั่งการสั่งอาหารการกินยังยากเลย ฉะนั้นไปกับทัวร์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

7 บ่อ ออนเซ็น แช่แล้วฟิน… แถมเสริมสิริมงคล… ต้องคิโนซากิ ออนเซ็น ไม่ไกลจากโอซาก้า

คิโนซากิออนเซ็น เป็นเมืองขนาดเล็กเปรียบเสมือนหมู่บ้านที่ยังคงรักษาสภาพบ้านเรือนและเป็นอยู่ในแบบโบราณมาจนถึงทุกวันนี้